คำถามที่ ๑๒ : การขอชะฟาอะฮฺจากผู้ที่มีสิทธิ์ให้ชะฟาอะฮฺเป็นชิรีกหรือไม่ |
คำถามที่ ๑๒ : การขอชะฟาอะฮฺจากผู้ที่มีสิทธิ์ให้ชะฟาอะฮฺเป็นชิรีกหรือไม่
คำตอบ : คำถามที่ได้ถามมานั้น ทำให้รู้ว่าการชะฟาอะฮฺเป็นสิทธิ์ของพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) แต่เพียงผู้เดียว อัล-กุรอานกล่าวว่า
قُل لِّلَّهِ الشَّفَاعَةُ جَمِيعًا
จงประกาศเถิดว่า อัลลอฮฺผู้ทรงสิทธิ์ในการชะฟาอะฮฺทั้งหมด [1]
ด้วยเหตุนี้การขอชะฟาอะฮฺจากผู้อื่นนอกจากอัลลอฮฺ (ซบ.) หรือการขออำนาจเด็ดขาดของพระองค์จากผู้เป็นบ่าว และในความเป็นจริงการขอเช่นนี้ เท่ากับเป็นการภักดีต่อสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากอัลลอฮฺ ซึ่งเป็นการไม่เหมาะสมกับเตาฮีดอิบาดะฮฺ
จุดประสงค์ของ ชิรีก ตรงนี้ไม่ได้เป็นการทำชิรีกในซาต (อาตมันสากล) หรือการสร้าง (คอลิกียะฮฺ) หรือการบริบาลของพระองค์ แต่เป็นชิรีกในอิบาดะฮฺ แน่นอนการอธิบายประเด็นดังกล่าว ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการภักดีและการอิบาดะฮฺ ซึ่งทุกคนทราบดีว่า การอธิบายความหมายของอิบาดะฮฺไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา เพื่อว่าจะได้สามารถมอบความนอบน้อมทั้งหลายแก่สรรพสิ่งถูกสร้าง หรือเรียกขอทุกความต้องการจากปวงบ่าว อัล-กุรอานได้กล่าวถึงเรื่องของมะลาอิกะฮฺที่ซัจดะฮฺท่านศาสดาอาดัม (อ.) ว่า
فَأِذَا سَوَّيتُهُ وَنَفَخْتُ فِيْهِ مِنْ رُوْحِى فَقَعُوا لَهُ سَاجِدِيْن فَسَجَدَ الْمَلاَئِكَة كُلّهُمْ أجْمَعِيْنَ
ต่อมาเมื่อฉันได้บันดาลเขาครบสมบูรณ์ ฉันได้เป่าวิญญาณของฉันลงไปบนเขาพวก แล้วทั้งหมดก็ก้มลงกราบคารวะแก่เขา ดังนั้นมะลาอิกะฮฺทั้งหมดก็ก้มคารวะโดยดี [2]
แม้ว่าการกราบนั้นพระองค์อัลลอฮฺจะเป็นผู้สั่งก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากกระทำจะเห็นว่าบรรดามลาอิกะฮฺไม่ได้ทำอิบาดะฮฺต่อท่านอาดัม เพราะมิเช่นนั้นพระองค์จะไม่สั่งเช่นนั้นเด็ดขาด เช่นกันเรื่องราวของบุตรท่านศาสดายะอฺกูบ ตัวของท่านก็มิได้ซัจดะฮฺท่านศาสดายูซุฟ (อ.) อัล-กุรอานกล่าวว่า
وَرَفَعَ أَبَوَيْهِ عَلَى الْعَرْشِ وَخَرُّواْ لَهُ سُجَّدًا
และเขาได้เชิญบิดามารดาขึ้นบนบังลังก์ และทั้งหมดได้ทรุดกายลงคารวะท่านศาสดายูซุฟ [3]
ถ้าการนอบน้อมดังกล่าวเป็นการอิบาดะฮฺต่อท่านศาสดายูซุฟ เราคงจะไม่เห็นท่านยะอฺกูบในฐานะของศาสดาท่านหนึ่งที่บริสุทธิ์กระทำเช่นนั้น และท่านก็คงจะไม่พอใจการกระทำของบุตรของท่านอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามไม่มีการนอบน้อมใดที่จะสูงส่งเกินไปกว่าการซัจดะฮฺ ด้วยเหตุนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องแยกความเข้าใจเกี่ยวกับการนอบน้อม หรือการวอนขอจากผู้อื่นที่นอกเหนือจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ออกจากอิบาดะฮฺ แก่นแท้ของอิบาดะฮฺหมายถึง การที่มนุษย์ได้คำนึงถึงการมีอยู่ของอัลลอฮฺ และได้ทำการเคารพภักดีต่อพระองค์ สิ่งอื่นที่นอกเหนือจากนี้ล้วนเป็นมัคลูก (สิ่งที่พระองค์ได้อุบัติขึ้นมา) ของพระองค์ทั้งสิ้น คำนึงถึงภารกิจของพระองค์อย่างเช่น การบริบาล การสร้าง และการอภัยในความผิดของปวงบ่าวเป็น วาญิบสำหรับพระองค์ แต่ถ้าการเคารพของเราที่มีต่อบุคคลหรือสิ่งอื่น โดยที่ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นพระเจ้า หรือไม่ได้คิดถึงภารกิจต่าง ๆ ของเขาว่าเป็นภารกิจของพระผู้อภิบาล การนอบน้อม และแสดงความเคารพเช่นนี้ ก็เหมือนและไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าการคารวะนอบน้อมของมวลมลาอิกะฮฺที่มีต่อท่านศาสดาอาดัม (อ.) การคารวะของบุตรแห่งยะอฺกูบที่มีต่อท่านศาสดายูซุฟ
เกี่ยวกับคำถามที่ถามนั้น ถ้าเมื่อใดก็ตามผู้ขอคิดว่าสิทธิในการให้ชะฟาอะฮฺเป็นของผู้ให้ชะฟาอะฮฺแต่เพียงอย่างเดียว และผู้ให้สามารถให้ได้โดยไม่มีเงื่อนไข อีกทั้งยังสามารถอภัยในความผิดได้อีกต่างหาก การเชื่อเช่นนี้ถือว่าเป็นชิรีกอย่างแน่นอน เพราะผู้นั้นได้วอนขอภารกิจของพระองค์จากคนอื่น แต่ถ้ามีชนกลุ่มหนึ่งที่เป็นบ่าวที่บริสุทธิ์ของพระองค์ มิใช่เจ้าของการชะฟาอะฮฺ แต่ได้รับอนุญาตในขอบเขตจำกัดจากพระองค์อัลลอฮฺให้ทำการชะฟาอะฮฺในบาปของคนอื่น ซึ่งสิ่งสำคัญของเงื่อนไขคือการได้รับอนุญาต และความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ (ซบ.) ฉะนั้นการชะฟาอะฮฺเช่นนี้จากบ่าวที่บริสุทธิ์ของอัลลอฮฺ ย่อมไม่ได้หมายความเขาเป็นพระเจ้า หรือการมอบหมายภารกิจของพระองค์ให้กับเขา แต่เป็นการขอในภารกิจที่เป็นสิทธิและอยู่ในความสามารถของเขา
ในสมัยท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) คนที่ทำบาปได้ไปหาเพื่อขออภัยในบาป ท่านก็ไม่ได้แสดงการเป็นชิรีกแต่อย่างใด หนังสือซุนัน อิบนิมาญะฮฺได้รายงานริวายะฮฺของท่านไว้ว่า
أتدرون ما خيّرنى ربّى اللّيلة ؟ قلنا الله ورسوله أعلم. قال فانّه خيرنى بين أن يدخل نصف امّتى الجنّة و بين الشّفاعة فاخترت الشّفاعة قلنا يا رسول الله ادع الله أن يجعلنا من أهلها قال هى لكلّ مسلم.
ท่านรู้ไหมว่า คืนนี้พระผู้อภิบาลของฉันได้ให้ฉันเลือกระหว่างอะไร พวกเราพูดว่า อัลลอฮฺและเราะซูลเท่านั้นเป็นผู้รู้ดีที่สุด ท่านกล่าวว่า อัลลอฮฺได้ให้ฉันเลือกระหว่างการให้ประชาชาติของฉันครึ่งหนึ่งเข้าสวรรค์กับการให้ชะฟาอะฮฺ ซึ่งฉันได้เลือกการให้ชะฟาอะฮฺ พวกเราพูดว่า โอ้เราะซูลโปรดขอต่ออัลลอฮฺ ได้โปรดชะฟาอะฮฺให้พวกเราเป็นคนดี ท่านได้กล่าวว่า การชะฟาอะฮฺเป็นของมุสลิมทุกคน [4]
ฮะดีซดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์ว่าเหล่าบรรดาสาวกของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ขอการชะฟาอะฮฺจากท่านศาสดา โดยกล่าวว่า ได้โปรดขอต่ออัลลอฮฺ อัล-กุรอานกล่าวว่า
وَلَوْ أَنَّهُمْ إِذ ظَّلَمُواْ أَنفُسَهُمْ جَآؤُوكَ فَاسْتَغْفَرُواْ اللّهَ وَاسْتَغْفَرَ لَهُمُ الرَّسُولُ لَوَجَدُواْ اللّهَ تَوَّابًا رَّحِيمًا
และมาตรว่าพวกเขาได้อธรรมแก่ตัวเอง พวกเขาได้มาหาเจ้า แล้วขออภัยโทษต่ออัลออฮฺ และเราะซูลก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขา พวกเขาได้พบว่าอัลลอฮฺคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ [5]
อีกโองการหนึ่งพระองค์กล่าวว่า
قَالُواْ يَا أَبَانَا اسْتَغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا إِنَّا كُنَّا خَاطِئِينَ
พวกเขาพูดว่า โอ้บิดาของเราโปรดอภัยโทษในความผิดของพวกเรา แท้จริงพวกเราเป็นผู้ผิดพลาด [6]
ท่านศาสดายะอฺกูบได้ให้สัญญาการอภัยโทษแก่พวกเขา ซึ่งจะเห็นว่าท่านศาสดาไม่ได้ทำให้พวกเขาเป็นชิรีกแต่อย่างไรอัล-กุรอานกล่าวว่า
قَالَ سَوفَ أسْتغْفَر لَكُمْ رَبّى اِنَّهُ هُوَ الْغَفُور الرَّحِيمُ
กล่าวว่า ฉันจะขออภัยต่อพระผู้อภิบาลของฉันแก่พวกเจ้า แท้จริงพระองค์ทรงอภัย อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง [7]
[1] ซุมัรฺ / ๔๔
[2] ซ็อด / ๗๒-๗๓
[3] ยูซุฟ /๑๐๐
[4] ซุนัน อิบนิมาญะฮฺ เล่มที่ ๒ บาบ ซิกรุชชะฟาอฺ หน้าที่ ๕๘๖
[5] นิซาอฺ / ๖๔
[6] ยูซุฟ / ๙๗
[7] ยูซุฟ / ๙๘